Interdisciplinary Academic and Research Journal最新文献

筛选
英文 中文
การส่งเสริมพฤติกรรมด้านสังคมของเด็กปฐมวัยด้วยเกมกีฬา การส่งเสริมพฤติกรรมด้านสังคมของเด็กปฐมวัยด้วยเกมกีฬา
Interdisciplinary Academic and Research Journal Pub Date : 2024-06-06 DOI: 10.60027/iarj.2024.275700
ซูเว่ย หยาง, พีระพร รัตนาเกียรติ์
{"title":"การส่งเสริมพฤติกรรมด้านสังคมของเด็กปฐมวัยด้วยเกมกีฬา","authors":"ซูเว่ย หยาง, พีระพร รัตนาเกียรติ์","doi":"10.60027/iarj.2024.275700","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275700","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การที่เด็กต้องการเล่นกับเพื่อนและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ต้องการอิสระที่จะเรียนรู้ประสบการณ์รอบตัว ต้องการได้รับกำลังใจ และคำชมจากผู้ใหญ่ เป็นการตอบสนองความต้องการทางสังคมของเด็กปฐมวัย         การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมด้านสังคมของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการเล่นเกมกีฬา\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ เด็กปฐมวัยอายุ 5 - 6 ปี จำนวน 15 คน โรงเรียนอนุบาล Huilong Yayuan เขต Longgang เซินเจิ้นมณฑลกวางตุ้ง โดยมีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sample) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการจัดประสบการณ์เกมกีฬา จำนวน 8 แผน ได้แก่ 1) พาน้ำกลับบ้าน 2) นกหารัง 3) ปิดตาตามหาสมบัติ 4) วิ่งกระสอบเก็บลูกบอล 5) มดไต่ขอน 6) เก้าอี้ดนตรี 7) พาไข่เดิน 8) วิ่งสามขาทรงพลัง แบบประเมินพฤติกรรมด้านสังคมของเด็กปฐมวัย จำนวน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการแบ่งปัน ด้านการช่วยเหลือ และด้านความร่วมมือ โดยใช้แบบแผนการทดลองแบบ Pre - Experimental Design สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละความก้าวหน้า\u0000ผลการวิจัย: ค่าเฉลี่ยของพฤติกรรมด้านสังคมของเด็กปฐมวัยหลังการเล่นเกมกีฬา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 15.46 ค่าส่วนเบี่ยงมาตรฐานเท่ากับ 2.09 สูงขึ้นกว่าก่อนการจัดกิจกรรมเกมกีฬา ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 11.13 ค่าส่วนเบี่ยงมาตรฐานเท่ากับ 1.71 โดยมีร้อยละของความก้าวหน้าเท่ากับ 56.58\u0000สรุปผล: ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการเล่นกีฬาส่งผลดีต่อพฤติกรรมทางสังคมของเด็กเล็กแสดงให้เห็นได้จากค่าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 11.13 เป็น 15.46 โดยมีเปอร์เซ็นต์ความก้าวหน้าที่ตรงกันที่ 56.58%","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"113 S1","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-06","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141377673","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การศึกษาทักษะการบริหารจัดการศึกษาในยุคนิวนอร์มัลของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ การศึกษาทักษะการบริหารจัดการศึกษาในยุคนิวนอร์มัลของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์
Interdisciplinary Academic and Research Journal Pub Date : 2024-06-06 DOI: 10.60027/iarj.2024.275376
พิฌาวรรณ แช่มชื่น ชมดง, อมร มะลาศรี, คมสันทิ์ ขจรปัญญาไพศาล
{"title":"การศึกษาทักษะการบริหารจัดการศึกษาในยุคนิวนอร์มัลของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์","authors":"พิฌาวรรณ แช่มชื่น ชมดง, อมร มะลาศรี, คมสันทิ์ ขจรปัญญาไพศาล","doi":"10.60027/iarj.2024.275376","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275376","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การจัดการศึกษาเพื่อให้มีความสอดคล้องกับยุคนิวนอร์มัลทำให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมได้เข้ามามีบทบาทในการศึกษามากยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน บุคลากรทางการศึกษาจำนวนมากมีการปรับตัวเพื่อใช้เทคโนโลยีในการทำงานทางไกลส่งผลกระทบไปถึงพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีของครูและนักเรียนเพื่อการเรียนรู้ทางไกลและการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้กลายเป็นความปกติใหม่ทำให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในการเรียนสำหรับผู้เรียนทุกคน ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของทักษะการบริหารจัดการศึกษาในยุคนิวนอร์มัลของผู้บริหารโรงเรียน 2) ศึกษาระดับของทักษะการบริหารจัดการศึกษาในยุคนิวนอร์มัลของผู้บริหารโรงเรียน 3) เปรียบเทียบระดับของทักษะการบริหารจัดการศึกษาในยุคนิวนอร์มัลของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ จำแนกตามขนาดของโรงเรียน และ 4) เปรียบเทียบระดับของทักษะการบริหารจัดการศึกษาในยุคนิวนอร์มัลของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ จำแนกตามประสบการณ์ในการบริหารงาน\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: การศึกษาวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะต่อเนื่อง คือ ระยะที่ 1 มีผู้ให้ข้อมูลหลักเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่ 2 ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ ในปีการศึกษา 2565 จำนวนทั้งสิ้น 55 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .95 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ หาร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน\u0000ผลการวิจัย: (1) ทักษะการบริหารจัดการศึกษาในยุคนิวนอร์มัลของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ ประกอบด้วย 6 ทักษะ ได้แก่ 1) ทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 2) ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนที่ยั่งยืน 3) ทักษะด้านการคิดและการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ 4) ทักษะด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ สื่อดิจิทัล และนวัตกรรมการบริหารจัดการ 5) ทักษะทางด้านความฉลาดทางอารมณ์และมีทัศนคติเชิงบวก และ 6) ทักษะทางด้านการใช้ภาษาอังกฤษ (2) ทักษะการบริหารจัดการศึกษาในยุคนิวนอร์มัลของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (3) ผู้บริหารที่สังกัดโรงเรียนที่มีขนาดแตกต่างกัน มีระดับของทักษะการบริหารจัดการศึกษาในยุคนิวนอร์มัลของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ แตกต่างกัน และ (4) ผู้บริหารโรงเรียนที่มีประสบการณ์ในการบริหารงานแตกต่างกัน มีระดับของทักษะการบริหารจัดการศึกษาในยุคนิวนอร์มัลของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ แตกต่างกัน\u0000สรุปผล: การบริหารการศึกษามีการเปลี่ยนแปลงซึ่งต้องอาศัยความสามารถที่หลากหลายที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของ \"ความปกติใหม่\" นอกเหนือจากการปรับให้เข้ากับขนาดโรงเรียนและประสบการณ์การบริหารจัดการที่หลากหลายแล้ว ผู้บริหารยังจำเป็นต้องมีทักษะด้านการสื่อสาร เทคโนโลยี และความฉลาดทางอารมณ์ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย ความรู้ที่ซับซ้อนนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของแนวทางที่กำหนดเองเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของความเป็นผู้นำด้านการศึกษาในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"13 8","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-06","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141379277","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
อิทธิพลของแรงจูงใจในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร องค์การบริหารส่วนจังหวัดกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 อิทธิพลของแรงจูงใจในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร องค์การบริหารส่วนจังหวัดกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2
Interdisciplinary Academic and Research Journal Pub Date : 2024-06-05 DOI: 10.60027/iarj.2024.275869
ธนชัย เห็มพิลา, ชาติชัย อุดมกิจมงคล, สามารถ อัยกร
{"title":"อิทธิพลของแรงจูงใจในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร องค์การบริหารส่วนจังหวัดกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2","authors":"ธนชัย เห็มพิลา, ชาติชัย อุดมกิจมงคล, สามารถ อัยกร","doi":"10.60027/iarj.2024.275869","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275869","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ทรัพยากรมนุษย์ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนองค์กรให้ไปสู่เป้าหมาย ผู้บริหารไม่ว่าจะอยู่ในภาครัฐหรือภาคเอกชน ต่างให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะการที่ผู้บริหารจะบริหารจัดการให้เป็นไปตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ขององค์กรได้นั้น จำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีคุณภาพและพร้อมที่จะปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพองค์กรที่มีประสิทธิภาพย่อมก่อให้เกิดประสิทธิผล องค์กรที่มีประสิทธิผลย่อมก่อให้เกิดความสำเร็จ ส่งผลดีและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารและบุคลากรในองค์กร แรงจูงใจในการทำงาน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่จะมีอิทธิพลต่อความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร แรงจูงใจถือเป็นปัญหาใหญ่ต่อการดำเนินงานของทุกองค์กร องค์กรทุกองค์กรต่างพยายามหาวิธีการที่จะสร้างแรงจูงใจให้กับบุคลากรเพื่อให้บุคลากรเกิดแรงจูงใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและบรรลุตามวัตถุประสงค์ขององค์กรที่ตั้งไว้ การวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาระดับแรงจูงใจในการทำงานและประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัด กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 และเพื่อศึกษาอิทธิพลของแรงจูงใจในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัด กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: ประชากรที่ใช้ในการศึกษาได้แก่บุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัด กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2  จำนวน 285 คน สถิติที่ในการวิจัยได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ\u0000ผลการวิจัย: ผลการวิจัยพบว่า ระดับแรงจูงใจในการทำงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า มีแรงจูงใจในการทำงานอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือปัจจัยจูงใจ และปัจจัยค้ำจุน ตามลำดับ ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า แรงจูงใจในการทำงาน มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัด กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 โดย ปัจจัยจูงใจด้านความก้าวหน้าในการทำงาน ด้านการยอมรับนับถือ ด้านความสำเร็จในงาน และด้านความรับผิดชอบ มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อธิบายได้ว่าองค์ประกอบดังกล่าวสามารถร่วมกันพยากรณ์ระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของ บุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ได้ร้อยละ 68.80 ส่วนปัจจัยค้ำจุนด้านความมั่นคงในการทำงาน ด้านเงินเดือนและค่าตอบแทนด้านลักษณะของอาชีพ และ ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อธิบายได้ว่าองค์ประกอบดังกล่าวสามารถร่วมกันพยากรณ์ระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ได้ร้อยละ 77.80\u0000สรุปผล: ผลการศึกษายืนยันว่าบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 มีแรงจูงใจในการทำงานและประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในระดับสูง ปัจจัยเฉพาะ ด้านความก้าวหน้าในการทำงาน ด้านการยอมรับนับถือ ด้านความสำเร็จในงาน ด้านความรับผิดชอบ ด้านความมั่นคงในการทำงาน ด้านเงินเดือนและค่าตอบแทน ด้านลักษณะของอาชีพ และด้านความสัมพันธ์กับเพื่อน","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"34 9","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-05","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141382379","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
Negotiation of Meaning Strategies to Improve English Conversations between EFL University Students and a Native Speaker 改善 EFL 大学生与母语人士英语会话的意义协商策略
Interdisciplinary Academic and Research Journal Pub Date : 2024-06-05 DOI: 10.60027/iarj.2024.275696
Pittaya Yamo, Warangkhana Sutin
{"title":"Negotiation of Meaning Strategies to Improve English Conversations between EFL University Students and a Native Speaker","authors":"Pittaya Yamo, Warangkhana Sutin","doi":"10.60027/iarj.2024.275696","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275696","url":null,"abstract":"Background and Aims: In English conversations, where interlocutors may have differing language backgrounds or proficiency levels, effective communication relies on employing negotiation of meaning strategies to ensure mutual understanding and clarity. The purpose of this study was to examine the negotiation of meaning strategies used by EFL university students in conversation with a native speaker, highlighting their importance in achieving effective communication and linguistic development.\u0000Methodology: Qualitative data were collected through recorded conversations in an academic setting, involving 20 EFL university students and a native speaker and were analyzed using conversation analysis.\u0000Results: The study identified the top five negotiations of meaning strategies, with clarification requests and confirmation checks being most prevalent, indicating a strong preference for direct engagement in ensuring mutual understanding.\u0000Conclusion: The findings emphasized the importance of incorporating targeted negotiation of meaning exercises into EFL curricula to improve students' communicative competence and cross-cultural understanding.","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"59 44","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-05","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141383525","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การวิเคราะห์องค์ประกอบประเพณีในหนังสือเรียนภาษาจีนระดับมัธยมศึกษาในประเทศไทย การวิเคราะห์องค์ประกอบประเพณีในหนังสือเรียนภาษาจีนระดับมัธยมศึกษาในประเทศไทย
Interdisciplinary Academic and Research Journal Pub Date : 2024-06-05 DOI: 10.60027/iarj.2024.273773
Zhao Dong, Zhiyan Li
{"title":"การวิเคราะห์องค์ประกอบประเพณีในหนังสือเรียนภาษาจีนระดับมัธยมศึกษาในประเทศไทย","authors":"Zhao Dong, Zhiyan Li","doi":"10.60027/iarj.2024.273773","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.273773","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: องค์ประกอบของประเพณีท้องถิ่นซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการเรียนการสอนภาษาจีน ได้รับความสนใจที่แตกต่างกันในแต่ละชุดหนังสือเรียนภาษาจีนที่ถูกปรับให้เข้ากันกับท้องถิ่นในประเทศไทย บทความนี้มุ่งเน้นการศึกษาและวิเคราะห์องค์ประกอบรประเพณีในหนังสือเรียนภาษาจีนที่เหมาะสมสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา จำนวน 5 ชุด เพื่อสรุปให้ข้อมูลและคำแนะนำที่มีคุณค่าสำหรับการพัฒนาหนังสือเรียนภาษาจีนที่ถูกปรับให้เข้ากันกับท้องถิ่นที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาในประเทศไทย\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: เลือกหนังสือเรียนภาษาจีนถูกออกแบบเพื่อให้เข้ากันกับท้องถิ่นในประเทศไทยจำนวน 5 ชุด โดยพิจารณาจากความเป็นสากล การนำไปใช้ และความยากง่ายในการจัดหา จากนั้นนับจำนวนวิเคราะห์องค์ประกอบรประเพณี และแบ่งองค์ประกอบรประเพณีออกเป็น 4 กลุ่ม และ วิเคราะห์จำนวนและสัดส่วนขององค์ประกอบรประเพณีต่างๆ\u0000ผลการวิจัย: องค์ประกอบประเพณีทางวัสดุและองค์ประกอบประเพณีทางภาษาในหนังสือเรียนภาษาจีนในระดับมัธยมศึกษามีสัดส่วนที่สูงมาก การจัดเรียงและการนำเสนอองค์ประกอบประเพณีในหนังสือเรียนภาษาจีนถูกออกแบบเพื่อให้เข้ากันกับท้องถิ่นในประเทศไทยค่อนข้างไม่เพียงพอ องค์ประกอบประเพณีของจีนเยอะกว่าของไทย บางจุดการละเลยความต้องการและจุดประสงค์ในการเรียนภาษาจีนของผู้เรียน\u0000สรุปผล: ก่อนจะออกแบบหนังสือเรียนภาษาจีนสำหรับผู้เรียนในไทย การคัดเลือกและจัดเรียงองค์ประกอบประเพณีไทยและจีน มีความจำเป็นต้องอาศัยการเปรียบเทียบระหว่างองค์ประกอบประเพณีของจีนกับไทยเป็นพื้นฐาน และควรให้ความสำคัญกับการจัดแสดงองค์ประกอบประเพณีของไทยให้มากขึ้น องค์ประกอบประเพณีที่ถูกเลือกสำหรับการจัดเรียงหนังสือเรียนภาษาจีน ควรสอดคล้องกับระดับ ความสามารถ ความต้องการเรียนภาษาจีนของผู้เรียน","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"339 9","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-05","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141386147","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
ผลของการฝึกด้วยความหนักมากแบบเป็นช่วง (HIIT) ที่มีต่อสมรรถภาพแอนแอโรบิกของนักกีฬาวูซูประเภทต่อสู้ทีมชาติไทย ผลของการฝึกด้วยความหนักมากแบบเป็นช่วง (HIIT) ที่มีต่อสมรรถภาพแอนแอโรบิกของนักกีฬาวูซูประเภทต่อสู้ทีมชาติไทย
Interdisciplinary Academic and Research Journal Pub Date : 2024-06-05 DOI: 10.60027/iarj.2024.275563
ยุทธพิชัย ชาญเลขา, ธวัชชัย ไกรทองสุข
{"title":"ผลของการฝึกด้วยความหนักมากแบบเป็นช่วง (HIIT) ที่มีต่อสมรรถภาพแอนแอโรบิกของนักกีฬาวูซูประเภทต่อสู้ทีมชาติไทย","authors":"ยุทธพิชัย ชาญเลขา, ธวัชชัย ไกรทองสุข","doi":"10.60027/iarj.2024.275563","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275563","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การออกกำลังกายด้วยความหนักมากแบบเป็นช่วง (HIIT) สลับกับการผ่อนความหนักเป็นช่วง มีความสำคัญต่อการแข่งขันกีฬาประเภทต่อสู้ เนื่องด้วยมีการแข่งขันเป็นยกและมีการแข่งขันที่ใช้พลังร่างกายความเร็วซึ่งใช้พลังแอโรบิกและแอนแอโรบิก ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาและเปรียบเทียบผลของการฝึกด้วยความหนักมากแบบเป็นช่วง (HIIT) สลับกับการผ่อนความหนักที่มีต่อสมรรถภาพแอนแอโรบิกของนักกีฬาวูซูประเภทต่อสู้ทีมชาติไทย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการฝึกด้วยความหนักมากแบบเป็นช่วง (HIIT) สลับกับการผ่อนความหนักที่มีต่อสมรรถภาพแอนแอโรบิกของนักกีฬาวูซูประเภทต่อสู้ทีมชาติไทย\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักกีฬาวูซูทีมชาติไทย เพศชาย จำนวน 10 คน มีการฝึกซ้อม 3 ครั้งต่อสัปดาห์รวมเป็น 8 สัปดาห์ โดยมีการเก็บข้อมูลก่อนการฝึกซ้อมและหลังการฝึกซ้อมมีการทดสอบสมรรถภาพทางกายแอนแอโรบิกด้วยจักรยานวัดงานของวินเกท (Wingate Anaerobic Test) และจักรยานวัดงานของแอสตรานด์และไรห์มิ่ง (Astrand-Rhyming) ก่อนการใช้โปรแกรมฝึกและวิเคราะห์ความแตกต่างของข้อมูลก่อนและหลังโดยใช้วิธีการวัดซ้ำของ 1 กลุ่มตัวอย่าง (Paired-sample t-Tests)\u0000ผลการวิจัย: ผลการวิเคราะห์แสดงผลการทดสอบค่าก่อนและหลังการทดสอบแบบแอนแอโรบิของอาสาสมัครจำนวน 10 คน พบว่า ค่า Anaerobic Capacity ก่อนการทดสอบ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 8.86 ± 0.12 (W.kg-1) หลังการทดสอบ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 9.71 ± 0.15 (W.kg-1) ค่า VO2max ก่อนการทดสอบ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.75 ± 1.66 (ml/kg/min) หลังการทดสอบ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 4.71 ± 0.15 (ml/kg/min)\u0000สรุปผล: การเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้โปรแกรมการฝึกด้วยความหนักมากแบบเป็นช่วง (HIIT) สลับกับการผ่อนความหนักก่อนและหลังการฝึกในการพัฒนาสมรรถภาพแอนแอโรบิกของนักกีฬาวูซูประเภทต่อสู้ทีมชาติไทย พบว่า ผลการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการเปรียบเทียบความแตกต่างก่อนและหลังการใช้โปรแกรมการพัฒนาเพิ่มขึ้นระดับความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"46 25","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-05","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141384519","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3
Interdisciplinary Academic and Research Journal Pub Date : 2024-05-21 DOI: 10.60027/iarj.2024.275478
นิธิดา นาเสถียร, ชยากานต์ เรืองสุวรรณ
{"title":"แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3","authors":"นิธิดา นาเสถียร, ชยากานต์ เรืองสุวรรณ","doi":"10.60027/iarj.2024.275478","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275478","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์การวิจัย: ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์เป็นความสามารถของผู้นำที่ต้องเข้าใจสภาพการณ์ขององค์การเป็นอย่างดี มีการกำหนดบทบาทและทิศทางขององค์การได้อย่างชัดเจน สามารถกระจายความคิดให้บุคลากรยอมรับ และนำพาองค์การไปยังทิศทางที่ถูกต้องเหมาะสมและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันที่เกิดขึ้น ผู้บริหารสถานศึกษาจึงนับเป็นบุคคลที่มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาองค์การเพราะผู้บริหารเป็นผู้ขับเคลื่อนองค์การไปในทิศทางที่ต้องการอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3 และเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย : การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง 285 คน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 40 คน และครูผู้สอน จำนวน 245 คน สุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม มีค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.80 - 1.00 สภาพปัจจุบันมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.93 ค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง 0.38 - 0.75 และสภาพที่พึงประสงค์มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.94 ค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง 0.36 - 0.74 สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีการเรียงลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น ระยะที่ 2 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน เพื่อประเมินแนวทาง เครื่องมือ คือ แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทาง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน\u0000ผลการวิจัย: 1. สภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด และมีค่าดัชนีการเรียงลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น อยู่ระหว่าง 0.37 - 0.41 2. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา พบ 39 แนวทาง แบ่งเป็น ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ 11 แนวทาง ด้านการเผยแพร่วิสัยทัศน์ 9 แนวทาง ด้านการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ 10 แนวทาง ด้านการเป็นแบบอย่างที่ดี 9 แนวทาง โดยมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด\u0000สรุปผล: ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาเป็นพฤติกรรมการแสดงออกของผู้บริหารสถานศึกษาที่แสดงออกถึงการมองภาพความสำเร็จของสถานศึกษาที่ดำเนินการบริหารจัดการแล้วบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้โดย ประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ 1) การสร้างวิสัยทัศน์ 2) การเผยแพร่วิสัยทัศน์ 3) การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ 4) การเป็นแบบอย่างที่ดี","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"52 6","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-05-21","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141116604","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
Developing Professional Learning Community-based Internal Supervision Model for Phibunmangsahan School of Ubon Ratchathani Provincial Administrative Organization 为乌汶叻差他尼府行政组织披汶芒沙汉学校开发基于专业学习社区的内部督导模式
Interdisciplinary Academic and Research Journal Pub Date : 2024-05-21 DOI: 10.60027/iarj.2024.275320
Wichuda Malasai
{"title":"Developing Professional Learning Community-based Internal Supervision Model for Phibunmangsahan School of Ubon Ratchathani Provincial Administrative Organization","authors":"Wichuda Malasai","doi":"10.60027/iarj.2024.275320","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275320","url":null,"abstract":"Background and Aims: Educational supervision is considered the heart of the development of educational institutions' administrators, teachers, and educational personnel. Because the various missions of the educational institution will be successful according to the stated objectives, it requires cooperation from many parties in many areas, especially in the development of the quality of teaching and learning. Thus, this research aimed to develop and evaluate the effectiveness of the internal supervision model by using professional learning community processes for the Phibunmangsahan School of UbonRatchathani Provincial Administrative Organization.\u0000Methodology: Research methodology as research and development the implementation of 3 phases; phases 1: study current and desirable states on internal supervision and professional learning community in Phibunmangsahan School of UbonRatchathani Provincial Administrative Organization, phases 2: development of internal supervision model by using professional learning community-based for UbonRatchathani Provincial Administrative Organization, and phases 3: evaluation of effectiveness of internal supervision model by using a professional learning community for UbonRatchathani Provincial Administrative Organization. The target group in the research. Phase 1 is divided into 2 groups; 1) school administrator, head of academic administration, head of internal supervision, head of learning group 15 people and provide information by group discussion. 2) school administrator, head of learning group, teachers 30 people and provide information by questionnaire. Phase 2 is 5 experts. In Phase 3, the head of academic administration, the head of the learning group, and teachers 28 people. The research instruments used were 5-point rating scale questionnaires, structured interviews, performance assessment forms, and satisfaction assessment forms were used for data collection. Data were analyzed by frequency, percentage, mean, standard deviation, PNIModified, and paired t-test.\u0000Results: The findings were as follows: (1) The study's current and desirable states on internal supervision and professional learning community in Phibunmangsahan School of UbonRatchathani Provincial Administrative Organization, (1.1) overall, the current state on the internal supervision was at a high level and the desirable state was at the highest level, respectively. When considering the need index, it was found that the internal supervision on Implementation gained the need index with the highest level from all 5 aspects. And 2) overall, the current state of the professional learning community was at a high level, and the desirable state was at the highest level, respectively. When considering the need index, it was found that the professional learning community was a caring community with the highest level of the need index from all 6 aspects. (2) Internal supervision model by using the professional learning community process for Phibunmangsa","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"51 1","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-05-21","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141116712","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การพัฒนาสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ด้านการประเมินและออกแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของนักศึกษาวิชาชีพครู การพัฒนาสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ด้านการประเมินและออกแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของนักศึกษาวิชาชีพครู
Interdisciplinary Academic and Research Journal Pub Date : 2024-05-21 DOI: 10.60027/iarj.2024.276543
จีราภรณ์ จันทร์เขียน, วิชชุตา อ้วนศรีเมือง
{"title":"การพัฒนาสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ด้านการประเมินและออกแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของนักศึกษาวิชาชีพครู","authors":"จีราภรณ์ จันทร์เขียน, วิชชุตา อ้วนศรีเมือง","doi":"10.60027/iarj.2024.276543","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276543","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การพัฒนาสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ด้านการประเมินและออกแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของนักศึกษาวิชาชีพครู การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ด้านการประเมินและออกแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ที่ออกฝึกปฏิบัติการสอนในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ในเขตจังหวัดชัยภูมิ จำนวน 30 คน ได้มาจากการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling หรือ Judgement sampling) ลักษณะของกลุ่มตัวอย่างที่เลือกเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วย 1) แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู และ 2) แบบประเมินสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ด้านการประเมินและออกแบบกระบวนการสืบเสาะ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)\u0000ผลการวิจัย: นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูมีสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ด้านการประเมินและออกแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับมาก\u0000สรุปผล: การพัฒนาสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ด้านการประเมินและออกแบบกระบวนการ สืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของนักศึกษาวิชาชีพครู ทำให้นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูมีสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ด้านการประเมินและออกแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับมาก จึงควรสนับสนุนและส่งเสริมให้นำการพัฒนาสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ด้านการประเมินและออกแบบกระบวนการ สืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์นี้ไปใช้ในการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรีในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ต่อไป","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"8 1","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-05-21","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141117166","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
ส่วนประสมทางการตลาด 7Ps ที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการแอปพลิเคชันมายโม่ของธนาคารออมสิน ส่วนประสมทางการตลาด 7Ps ที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการแอปพลิเคชันมายโม่ของธนาคารออมสิน
Interdisciplinary Academic and Research Journal Pub Date : 2024-05-21 DOI: 10.60027/iarj.2024.274990
ศุภกิตติ์ พันธ์นรา, ธมยันตี ประยูรพันธ์, กฤษณา พรหมชาติ
{"title":"ส่วนประสมทางการตลาด 7Ps ที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการแอปพลิเคชันมายโม่ของธนาคารออมสิน","authors":"ศุภกิตติ์ พันธ์นรา, ธมยันตี ประยูรพันธ์, กฤษณา พรหมชาติ","doi":"10.60027/iarj.2024.274990","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.274990","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์ :ออนไลน์แบงค์กิ้ง ถือเป็นเทคโนโลยีทางการเงิน เป็นช่องทางการให้บริการทางการเงินที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยแต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีทางการเงินนี้ก็ยังคงมีอุปสรรค จากการสำรวจพบว่าปัจจัยที่ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้แก่ ปัจจัยด้านความปลอดภัย ผู้บริโภคยังกังวลในเรื่องของความเสี่ยงแม้แนวโน้มของผู้ใช้งานและปริมาณการทำธุรกรรมจะมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นก็ตามแต่ความไว้วางใจความกังวลของลูกค้ายังเป็นเรื่องสำคัญในประเทศไทย ซึ่งการจะชักจูงให้ลูกค้ามาใช้บริการเทคโนโลยีทางการเงินมากขึ้น ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อทดสอบส่วนประสมทางการตลาด 7Ps ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการแอปพลิเคชันมายโม่ของธนาคารออมสิน\u0000ระเบียบวิธีการศึกษา:กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษา คือ ผู้ใช้บริการแอปพลิเคชันมายโม่ของธนาคารออมสิน จำนวน 400 คน เครื่องมือในการวิจัยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีพรรณนา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ\u0000ผลการศึกษา: (1) ข้อมูลส่วนประสมทางการตลาด 7Ps ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการแอปพลิเคชันมายโม่ของธนาคารออมสิน ซึ่งพบว่า ส่วนประสมทางการตลาด 7Ps ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางกา รจัดจำหน่าย ด้านส่งเสริมการตลาด ด้านบุคลากร ด้านกายภาพ และด้านกระบวนการ ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บ ริการแอปพลิเคชันมายโม่ของธนาคารออมสิน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ร ะดับ 0.05 โดยสามารถอธิบายกา รผันแปรความพึงพอใจของผู้ใช้บริการแอปพลิเคชันมายโม่ของธนาคารออมสิน ได้ร้อยละ 81.60 (2) ข้อเสนอแนะ ควรมีการนำวิธีวิจัยเชิงคุณภาพมาเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลควบคู่กับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่มีความหลากหลายจากมิติหรือมุมมองต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น เช่น การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) และการสังเกต (Observation)\u0000สรุป:ส่วนประสมทางการตลาด 7Ps ด้านประกอบด้วยด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านส่งเสริมการตลาด  ด้านกายภาพ และด้านกระบวนการส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการแอปพลิเคชันมายโม่ของธนาคารออม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ขณะที่ ส่วนประสมทางการตลาด 7Ps ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านบุคลากร ไม่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการแอปพลิเคชันมายโม่ของธนาคารออมสิน","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"44 3","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-05-21","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141113663","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
0
×
引用
GB/T 7714-2015
复制
MLA
复制
APA
复制
导出至
BibTeX EndNote RefMan NoteFirst NoteExpress
×
提示
您的信息不完整,为了账户安全,请先补充。
现在去补充
×
提示
您因"违规操作"
具体请查看互助需知
我知道了
×
提示
确定
请完成安全验证×
相关产品
×
本文献相关产品
联系我们:info@booksci.cn Book学术提供免费学术资源搜索服务,方便国内外学者检索中英文文献。致力于提供最便捷和优质的服务体验。 Copyright © 2023 布克学术 All rights reserved.
京ICP备2023020795号-1
ghs 京公网安备 11010802042870号
Book学术文献互助
Book学术文献互助群
群 号:604180095
Book学术官方微信