Tippawan Gerdsuriwong, Banjarat Janfag, Pornchai O-charoenrat, Paiboon Sureepong, Peerasak Chortrakarnkij, Thanit Hirankhup, Kanokporn Thamapala
{"title":"การศึกษาผลของกระบวนการเตรียมความพร้อมเพื่อรับการรักษาและการติดตามเพื่อให้กำลังใจในผู้ป่วยมะเร็งกลุ่มศีรษะและลำคอที่หน่วยตรวจทูเมอร์คลินิกที่มีแผนการรักษาหลัก โรงพยาบาลศิริราช","authors":"Tippawan Gerdsuriwong, Banjarat Janfag, Pornchai O-charoenrat, Paiboon Sureepong, Peerasak Chortrakarnkij, Thanit Hirankhup, Kanokporn Thamapala","doi":"10.33192/smb.v14i3.241691","DOIUrl":null,"url":null,"abstract":"วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาประสิทธิผลของกระบวนการเตรียมความพร้อมเพื่อรับการรักษาและการติดตามเพื่อให้กำลังใจในผู้ป่วยมะเร็งกลุ่มศีรษะและลำคอที่หน่วยตรวจทูเมอร์คลินิกที่มีแผนการรักษาหลัก เพื่อหาสาเหตุที่ไม่ไปรับการรักษา และประเมินความเครียดของผู้ป่วยก่อนและหลังเข้ารับการตรวจ \nวิธีการศึกษา: ศึกษาผู้ป่วยมะเร็งกลุ่มศีรษะและลำคอ อายุ 18 - 75 ปี ที่หน่วยตรวจทูเมอร์คลินิกซึ่งมีแผนการรักษาหลัก จำนวน 120 ราย เทียบกับกลุ่มควบคุม คือ ข้อมูลผู้ป่วยมะเร็งกลุ่มดังกล่าวจากฐานข้อมูลสถิติทูเมอร์คลินิก ปี 2557 จำนวน 120 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ กระบวนการเตรียมความพร้อมเพื่อรับการรักษาและการติดตามเพื่อให้กำลังใจ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลและติดตามผู้ป่วย แบบประเมินความเครียด และแบบประเมินการเห็นคุณค่าในตนเองของโรเซ็นเบิร์ก (Rosenberg Self-Esteem Scale) สถิติที่ใช้ คือ t-test, Chi-square test และ McNemar’s test \nผลการศึกษา: ผู้ป่วยกลุ่มศึกษาไปรับการรักษาตามแผนการรักษา 109 ราย คิดเป็นร้อยละ 90.8 และไม่ไปรับการรักษา 11 ราย คิดเป็นร้อยละ 9.2 ผู้ป่วยกลุ่มควบคุมไปรับการรักษาตามแผน 102 ราย คิดเป็นร้อยละ 85 และไม่ไปรับการรักษา 18 ราย คิดเป็นร้อยละ 15 เมื่อเปรียบเทียบกันพบว่า จำนวนผู้ป่วยไปรับการรักษาตามแผนแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ สาเหตุที่ผู้ป่วยไม่ไปรับการรักษาส่วนใหญ่กลัวการรักษา ร้อยละ 46 รองลงมา ได้แก่ สภาพร่างกายไม่แข็งแรง ไปใช้บริการแพทย์ทางเลือก มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย และไม่มีผู้ดูแลระหว่างเข้ารับการรักษา ร้อยละ 20, 20, 7 และ 7 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบความเครียดก่อนและหลังเข้ารับการตรวจแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และการเห็นคุณค่าในตนเองก่อนและหลังเข้ารับการตรวจในผู้ป่วยกลุ่มศึกษาไม่แตกต่างกัน \nสรุป: กระบวนการเตรียมความพร้อมเพื่อรับการรักษาและการติดตามเพื่อให้กำลังใจ มีผลทำให้จำนวนผู้ป่วยไปเข้ารับการรักษาตามแผนแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ดีการจัดทำให้มีระบบการติดตามดูแลผู้ป่วยได้ครอบคลุม ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงควรมีการติดตามเยี่ยมเป็นระยะเพื่อทราบและช่วยแก้ไขปัญหาให้ผู้ป่วย ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาตามแผนที่วางไว้","PeriodicalId":201356,"journal":{"name":"Siriraj Medical Bulletin","volume":"7 1","pages":"0"},"PeriodicalIF":0.0000,"publicationDate":"2021-07-01","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":"0","resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":null,"PeriodicalName":"Siriraj Medical Bulletin","FirstCategoryId":"1085","ListUrlMain":"https://doi.org/10.33192/smb.v14i3.241691","RegionNum":0,"RegionCategory":null,"ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":null,"EPubDate":"","PubModel":"","JCR":"","JCRName":"","Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
在Tumer诊所的主要治疗计划是Shearraj医院,对头部和颈部癌症患者进行护理准备和跟踪的结果进行研究。
目的:探讨以护理计划为核心的双颈髓检查对头颈部和颈部癌症患者进行护理准备和跟踪的效果。目的了解不接受治疗的原因,并评估患者在入院前和入院后的压力。根据2014年的Tumer临床统计数据库,120个主要的治疗计划包括接受治疗的准备过程和跟踪,收集数据的工具包括记录、压力评估和自我价值评估。研究结果:109例患者按计划接受治疗,占90.8%,11例不接受治疗,占9.2%,对照组患者按计划接受治疗,占85%,不接受治疗,占15%,统计学上无显著差异。包括身体状况不佳,选择医疗服务,费用问题和护理人员在治疗期间分别占20%、20%、7%和7%。在接受检查前和后压力比较时,差异无统计学意义,在接受检查前和后自我价值感也无统计学意义。结论:接受治疗的准备过程和鼓励的后续过程在统计学上没有显著差异。然而,建立了全面的护理跟踪系统,使病人得到了更好的生活质量,因此,应该定期进行探视,以了解并帮助解决问题,从而使病人按照计划接受治疗。
本文章由计算机程序翻译,如有差异,请以英文原文为准。