{"title":"การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกรณีศึกษา","authors":"พรพิมล พลเรือง, ไพศาล วรคำ","doi":"10.60027/iarj.2024.275958","DOIUrl":null,"url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบการใช้กรณีศึกษาเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ การทำงานเป็นทีม และทักษะการสื่อสาร รวมไปถึงสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบการใช้กรณีศึกษา ให้ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 75 \nระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มเป้าหมาย ที่ใช้ในการทำวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ห้อง รวม 11 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านหนองแสง อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 โดยการเลือกแบบเจาะจง ทำการวิจัยปฏิบัติการ 2 วงจรเครื่องมือที่ใช้ในการทำวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้กรณีศึกษาเรื่อง สนุกกับพลังงานของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 6 แผน รวม 12 ชั่วโมง ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้น ได้แก่ ขั้นเตรียม ขั้นเสนอ กรณีศึกษา ขั้นวิเคราะห์ ขั้นสรุปและขั้นประเมิน มีความเหมาะสมในระดับมาก และ 2) แบบประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาแบบมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวคิดของ Weir รวม 12 ข้อ 4 สถานการณ์ใช้ประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 ก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และหลังวงจรปฏิบัติการ 2 วงจร ปฏิบัติการละ 12 ข้อ มีค่าความสอดคล้อง อยู่ระหว่าง 0.97 มีค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง 0.30-0.73 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และการวิเคราะห์ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละวงจรปฏิบัติการ สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยกำหนดเกณฑ์การผ่านร้อยละ 75\nผลการวิจัย: ก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้กรณีศึกษา นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลี่ยแต่ละด้านไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 จำนวน 11 คน ในวงจรปฏิบัติการที่ 1 พบว่า นักเรียนทุกคนมีความสามารถในการแก้ปัญหาสูงกว่าก่อนเรียนแต่มีผลการประเมินรายด้านทุกด้าน ยังไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 จำนวน 9 คน และในวงจรปฏิบัติการที่ 2 พบว่า นักเรียนทุกคนมีความสามารถ ในการแก้ปัญหาผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 ทุกด้าน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้กรณีศึกษา ควรคำนึงถึงความสามารถของนักเรียนสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ความเข้าใจในแต่ละขั้นตอน กระตุ้นและเสริมแรงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักเรียนกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็น เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในกลุ่ม\nสรุปผล: ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนมีข้อบกพร่องในช่วงแรกค่อนข้างมาก แต่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมากด้วยการนำการเรียนรู้จากกรณีศึกษามาใช้ อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอและวิธีการที่กำหนดเองยังคงจำเป็นเพื่อรับประกันว่านักเรียนจะเข้าถึงระดับความสามารถที่จำเป็นในทุกด้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสอนต่อเนื่องและการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบร่วมมือ","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 7","pages":""},"PeriodicalIF":0.0000,"publicationDate":"2024-06-07","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":"0","resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":null,"PeriodicalName":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","FirstCategoryId":"1085","ListUrlMain":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275958","RegionNum":0,"RegionCategory":null,"ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":null,"EPubDate":"","PubModel":"","JCR":"","JCRName":"","Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกรณีศึกษา
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:การจัดการรมการเรียนรู้แบการ↪LoE43↩ช้กร↪LoE13↩ี↪LoE28↩ึกษาเป็นวิ↪LoE18↩ีที่มีประสิท↪LoE18↩ิภาพ↪LoE43↩นการพ↪LoE12↩นาควมสาาร↪LoE16↩↪LoE43↩นการแกป้ั↪LoE0D↩หาเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ การทำงานเป็นทีม และทัษะการส่อสาร รวมไปถึงสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิจตริงได้การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบการใช้กรณีศึกษา ให้ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 75 ระเบียบวิธีการวิจัย:เด็กเจัย: เด็กเจัย: เด็กเจัย: เด็กเจัย: ที่ใช้ในการทำวจัยครังนี้ เป็นักเรียนชั้นประถมศึษาปที่ 3 จำนวน 1 ห้อง รวม 11 คนภาคเรียนที่่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านหนงแสง อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักงานเขตพื้นที่ารศึกษาประถมศึษากาฬสินธุ์ เขต 2 โดยการเลือกแบเจาะจง ทำการวิจัยปฏิบัติการ 2 วงจรเครื่องมือที่ใช้ในการทวำิจัย1) แผนารจัดการเรียนรู้แบบใช้กรณีศึกษาเรื่อง สนุกับพลังงานของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 6แผน รวม 12 ชั่วโมง ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้น ได้แก่ ขั้นเตรียม ขั้นเสนอ กรณีศึกษา ขั้นวิเคราะห์ ขั้นสรุปและขั้นประเมินมีความเหมาะสมในระดับมากและ 2) แบบประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาแบบมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับตามแนวคิดของ Weir รวม 12 ข้อ 4 สถานการณ์ใช้ประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึษกา ปีที่ 32 วงจร ปฏิบัติการละ 12 ข้อ มีค่าความสอดค้อง อยู่ระหวาง 0.97 มีค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง 0.30-0.73 และ่คาความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนือหา และการวิเคราะห์ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนหลังการจัดกจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละวงจรปฏบัติการสถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยกำหนดเกณฑ์การผ่านร้อยละ 75ผลกาวิจัย:ผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผ1 พบว่า นักเรียนทุกคนมีความสามารถในการแก้ปัญหาสูงกว่าก่อนเรียนแต่มีผลการประเมินรายด้านทุกด้าน ยังไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 จำนวน 9 คน และในวงจรปฏิบัติการที่ 2 พบว่านักเรียนทุกคนมีความสามารถ ในการแก้ปัญหาผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 ทุกด้าน การจัดิกจกรมารเรียนรู้แบบใช้กรณีศึกษาควรคำนึงถึงความสามารถของนักเรียนสภาพปัญหาที่เกิดอข้นความเข้าใจในแต่ละขั้นตอน กระตุ้นและเสรมแรงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักเรียนกล้าแสดงอก กล้าแสดงความคิเดห็น เกิดการแลกเปลียนเรียนรู้ากันในกลุ่มสรุปผล:ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนมีข้อบกพร่องในช่วงแรกค่อนข้างมาก แต่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมากด้วยการนำการเรียนรู้จากกรณีศึกษามาใช้ อย่างไรก็ตามการสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอและวิธีการที่ำกหนดเองยังคงจำเป็นเพื่รอับประกันว่านักเรียนจะเข้าถึงระดับความสาารถที่จำเป็นในทุด้านอย่างสม่ำเสมโดยเน้ำถึงความสำคัญของการสอนต่อเนืองและการสร้าสภาพแวดล้อมการียนร้อบร่วมอ
本文章由计算机程序翻译,如有差异,请以英文原文为准。